วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

วิธีทำแผ่นพับ ด้วย Word 2010






       จากบทความ 
การทำแผ่นพับ word 2003 ได้รับความนิยมเป็นอย่างดี วันนี้เลยนำหลายคนที่ไม่รู้การทำแผ่นพับแบบ  word 2010 กันเถอะ ( 2007 คล้ายกัน )
ก่อนอื่นต้งไปตั้งค่าว่าจะใช้แบบ  ซม. หรือแบบ นิ้ว   ที่บทความ  การตั้งค่าหน่วยวัดของ word2007 นิ้วหรือเซนติเมตร (http://www.dek-ac.com/knowledge-id118.html  )

 
1 . ก่อนอื่นต้องตั้งค่าหน้ากระดาษให้เป็นแนวนอนก่อน 
2. และเปิดเอกสารเปล่า 2 หน้า

3. ไปที่เมนูเค้าโครง ทำการตั้งค่าหน้ากระดาษเป็น 3 คอลัมน์  และทำการตั้งค่าหน้ากระดาษซ้ายขาว เท่ากับ  0.25 นิ้ว ตามภาพ
ไปที่เมนู : เค้าโครงหน้ากระดาษ >> ขนาด >>  ขนาดกระดาษเพิ่มเติม… >>>  ระยะขอบ 


บทความโดย : http://www.dek-ac.com/knowledge-id119.html
4. ตั้งค่าระยะห่าง คือ  0.5 นิ้ว  ไปที่เมนู : เค้าโครงหน้ากระดาษ >> คอลัมน์ >> คอลัมน์เพิ่มเติม  :  กำหนดระยะห่างเท่ากับ 0.50 นิ้ว
 
ส่วนในเรื่องการพิมพ์ก็ตามเดิมครับ : 
ในเรื่องของการลงเนื้อหาของแผ่นพับนั้นหน้าแรกของแผ่นพับนั้นจะต้องไปเริ่มพิมพ์ที่คอลัมน์ที่ 3 (หมายเลข 1) ของแผ่นแรก แล้วก็ใส่เนื้อหาลงไปเรื่อย ๆ จนหมดแผ่นที่สอง พอหมดแผ่นที่สองแล้วให้มาเริ่มพิมพ์ที่แผ่นแรกต่อเลยโดยเริ่มจากคอลัมน์แรกแล้วก็ต่อไปจนถึงคอลัมน์ ที่ 2 คอลัมน์ที่สองของแผ่นแรกนั้นจะเป็นด้านหลังสุดของแผ่นพับ ถ้าใครทำถูก เนื้อหาในส่วนแรกกับส่วนสุดท้ายจะมาอยู่ใกล้กัน ในที่นี้ก็คือ คอลัมน์ 2 (หมายเลข 6) กับ 3 (หมายเลข 1) นะครับ ถ้าไม่เข้าใจก็ ดูตามรูปข้างล่าง

 
 
ตัวอย่างที่ทำเสร็จ :
ดาวน์โหลดไปลองใช้ที่ : ดาวน์โหลดที่นี่

เขียนเพื่อจำ
เผยแพร่เพื่อเป็นความรู้  ผ่านการทดสอบโดยใช้เวลา
ขอให้สำเร็จทุกคนครับ
บทความโดย : www.dek-ac.com

วิธี แก้ง่วงยามบ่าย


10 วิธีแก้ง่วงยามบ่าย

เนื่องจากบังเอิญได้มีโอกาสอ่านนิตยสาร สุขภาพดี ฉบับเดือนกรกฎาคม 2551 พบว่ามีเรื่อน่าสนใจที่ควนนำมาเสนอหรือมาบอกกล่าวให้ท่านผู้ที่ยังไม่ได้อ่านให้ได้รับรู้และนำไปใช้ได้ หรือถ้านผู้ที่ได้อ่านบางท่านเห็นว่าดี ก็อาจจะไปอุดหนุนซื้อหนังสือเขาบ้าก็ได้นะครับ
คนจะง่วงมันห้ามยากนะคะ ยิ่งถ้าง่วงในเวลางาน อยากนอนก็ไม้ได้ จะทำงานก็ทำได้ไม่ดี คงต้องหาวิธีแก้ง่วงกันสักหน่อย….
ที่เรามักรู้สึกง่วงหลังจากกินอาหารมื้อกลางวัน เป็นเพราะระหว่างที่อวัยวะภายในกำลังย่อยหรือดูดซึมอาหาร เลือดส่วนใหญ่ถูกลำเลียงลงมาสู่อวัยวะส่วนล่าง ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองน้อยลง การทำงานของสมองในช่วงนี้จะไม่ค่อยเฉียบไวเท่าที่ควร จนอาจทำให้งานชะงักได้ เราจึงนำเคล็ดลับแก้ง่วงยามบ่ายมาฝากกัน
1. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต และหันไปกินอาหารที่มีโปรตีนและเส้นใยสูงแทน เช่นเวลาสั่งข้าวผัด ให้คนขายใส่ข้าวลดลง หรือก๋วยเตี๋ยวก็ใส่ผักเยอะๆ เส้นน้อนๆ
2. ลดปริมาณอาหารลง เพื่อให้ระบบการย่อยอาหารไม่ต้องทำงานหนักเกินไป และค่อยๆ เปลี่ยนเป็นพลังงานให้คุณ ถ้ากลัวไม่อิ่ม ให้เปลี่ยนไปกินปริมาณน้อยลงแต่ถี่ขึ้น
3. เดินย่อยหลังมื้อกลางวันประมาณ 5 นาที จะช่วยให้ระบบการย่อยทำงานดีขึ้นในเวลางาน หาโอกาสลุกเดินอย่างน้อยชั่วโมงละครั้งเพื่อให้เลือดไปเลี้ยงสมองและแขนขามากขึ้น
4. ลองเปลี่ยนมากินอาหารว่างที่มีประโยชน์อย่างไข่ต้ม โยเกิร์ต ธัญพืชต่างๆ (เช่นเมล็ดฟักทอง ถั่ว งา ซึ่งมีส่วนช่วยบำรุงประสาทและทำให้จิตใจแจ่มใส) งานวิจัยจากสหรัฐระบุว่า ถั่วหลายชนิดและเม็ดมะม่วงหิมพานต์มีแบคทีเรียที่สามารถกำจัดเชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของโรคฟันผุ และยังสามารถประยุกต์ใช้กับโรคอื่นๆ ได้อีก เช่น กำจัดเชื้อโรคที่พบในสิว วัณโรคและโรคเรื้อน
5. หลีกเลี่ยงของว่างที่มีน้ำตาลสูงหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนทั้งในช่วงสายและบ่าย เพราะยิ่งทำให้คุณเซื่องซึมไปกันใหญ่
6. เมื่อเริ่มรู้สึกอ่อนเปลี้ย (ง่วงระยะแรก) ลองดื่มน้ำสะอาดแก้วโตสักแก้ว พยายามจิบน้ำเปล่าตลอดวัน หรืออาจดื่มน้ำขิงก็ได้ถ้าอากาศเย็น
7. เคี้ยวอาหารให้ละเอียดขึ้นเพื่อช่วยให้ระบบการย่อยทำงานดีขึ้น แถมยังช่วยให้คุณอิ่มเร็วขึ้น (ลดความอ้วนได้อีกต่างหาก) มีสมาธิ และผ่อนคลายมากขึ้นด้วย
8. ถ้าคุณบริโภควิตามินรวมหรือวิตามินบีคอมเพลกซ์อยู่แล้ว ลองกินอาหารเสริมเหล่านี้พร้อมกับมื้อกลางวัน เพื่อให้ประโยชน์จากวิตามินช่วยบรรเทาความง่วงเหงาอีกส่วนหนึ่ง
9. นอนพักผ่อนให้ได้ 7-8 ชั่วโมงต่อคืน จำไว้ว่าถ้านอนไม่พอตอนกลางคืน ไม่ว่าอะไรก็ฉุดให้คุณตื่นยามบ่ายไม่ได้
10. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นอีกทางที่ช่วยเติมพลังการทำงานให้คุณอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้คุณรู้สึกกระปี้กระเปร่า กระตือรือร้น ลองหาเวลาออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง (ครั้งละไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง) โดยอาจเริ่มจากการวิ่ง ว่ายน้ำ ฝึกโยคะและเดินเร็ว

วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ผลเสียจาการดัดฝัน






ผลเสียจาการดัดฝัน


ผลไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นได้หลังการจัดฟัน และมีผลต่อความคงอยู่ของฟันในระยะยาว ได้แก่
1. มีการสูญเสียแร่ธาตุของเคลือบฟัน และฟันผุ
การมีเครื่องมือจัดฟันในปากมักทำให้คราบจุลินทรีย์เพิ่มขึ้น เชื้อแบคทีเรียก็มากขึ้น pH ในปากก็ลดลง เกิดการสูญเสียแร่ธาตุ (demineralization) เห็นเป็นรอยสีขาวบนผิวเรียบของฟันดังรูปข้างล่างครับ ถ้าคุมอนามัยช่องปากได้และร่วมกับทันตกรรมป้องกัน เช่น การใช้ฟลูออไรด์เสริมในรูปแบบต่างๆ ก็จะมีโอกาสสะสมแร่ธาตุคืนได้ไม่เป็นอะไร แต่ถ้าปล่อยให้อนามัยช่องปากแย่ลงรอยพวกนี้จะผุเป็นหลุม มีผลต่ออายุการใช้งานฟันแน่ครับ



2.อันตรายต่อเคลือบฟันโดยตรง
หากมีการจัดวางแบร็คเก็ตอย่างไม่ระมัดระวังแล้วฟันคู่สบสบลงบนแบร็คเก็ตอย่างแรงก็เป็นอันตรายต่อผิวเคลือบฟันได้ จุดเสี่ยงจะอยู่ที่ปลายฟันหน้าบนกับปุ่มยอดฟันด้านติดกระพุ้งแก้มของฟันกรามบน การใช้เครื่องมืออย่างตัวกดแบนด์,ตัวถอดแบนด์โดยไม่ระวังก็ทำอันตรายฟันได้ครับ โดยเฉพาะฟันที่อุดมาใหญ่ๆนี่เสี่ยงที่จะแตกได้มากเลยหากถูกกระทบโดยไม่ตั้งใจ ในขั้นตอนการถอดแบร็คเก็ตก็ต้องระวังครับถ้าใช้หัวกรอเร็วมีโอกาสกินผิวเคลือบฟันได้ แต่เรื่องพวกนี้ถ้าไม่ถึงกับเคลือบฟันกระเทาะออกไปเลยก็ไม่มีผลกับอายุการใช้งานฟันมากครับ

3. ฟันตาย
แรงในการจัดฟันจะมีผลกระทบต่อความสามารถในการใช้ออกซิเจนของเซลล์ในโพรงประสาทฟัน ยิ่งแรงดึงฟันเยอะหรือยิ่งดึงนานๆก็ยิ่งรบกวนระบบไหลเวียนในโพรงประสาทฟัน ดังนั้นจึงต้องพยายามใช้แรงน้อยๆอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีการอักเสบในโพรงประสาทฟันเพียงเล็กน้อยและยังกลับคืนภาวะปกติได้ มีรายงานว่าฟันที่ตายจากการจัดฟันมีน้อยเสียเหลือเกินเมื่อเทียบกับจำนวนผู้เข้ารับการจัดฟันครับ แต่ถ้าเกิดฟันตายขึ้นมาจริงแล้วปล่อยไว้ไม่รักษาคลองรากฟันก็จะเกิดการละลายตัวของรากฟันและมีภาวะอักเสบรุนแรงจนสูญเสียฟันได้ครับ




4. รากฟันละลายตัว 
สาเหตุจากอะไรยังไม่แน่นอนครับ แต่มีทฤษฎีที่ยอมรับมากที่สุดคือ เกิดจากแรงจัดฟันที่มากเกินไปทำให้สะสม hyalin ในเอ็นยึดปริทันต์ส่งผลให้เร่งการทำงานของเซลล์ที่ทำหน้าที่ละลายกระดูกและละลายเคลือบรากฟัน (osteoclast และ cementoclast)[ ] การละลายจะเป็นแบบละลายจากภายนอก (external root resorption) จะเกิดขึ้นทั้งที่ปลายรากหรือด้านข้างราก เห็นได้ชัดเจนในภาพถ่ายรังสี มักเกิดกับฟันรากเล็กๆก่อนได้แก่ฟันหน้าล่างหรือรากฟันกรามด้านติดกระพุ้งแก้ม ระดับการละลายตัวส่วนมากไม่เกิน 2 มม. และมีรายงานยืนยันว่าแทบจะไม่มีผลต่อความคงทนของฟันครับ (ถ้าไม่ละลายตัวมากนะครับ)



5. การสูญเสียอวัยวะปริทันต์ (เหงือก เอ็นยึดปริทันต์ กระดูกเบ้ารากฟัน)
เนื่องด้วยเครื่องมือจัดฟันนั้นทำให้การดูแลอนามัยช่องปากลำบากขึ้น หากคุมอนามัยช่องปากไม่ได้ก็จะเกิดภาวะปริทันต์อักเสบขึ้นจนสูญเสียของอวัยวะปริทันต์บางส่วนไป จะเห็นชัดๆว่ามีเหงือกร่น ถ้าเสียอวัยวะปริทันต์มากๆย่อมมีผลต่ออายุการใช้งานฟันครับ







จะเห็นว่าส่วนนึงอยู่ที่หมอได้รักษาคุณอย่างรอบคอบหรือไม่ ส่วนนึงอยู่ที่คุณใส่ใจในอนามัยช่องปากตนเองหรือไม่ ถ้าดีด้วยกันทั้งสองส่วนก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการจัดฟันครับ

นอนดึกนั้น อันตรายมากนะรู้มั้ย


การนอนดึกส่งผลต่อสุขภาพอย่างไร
นอนดึกอันตรายกว่าที่คิด
 
การนอนดึกส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไร
นอนดึกอันตรายกว่าที่คิด     
 
      การนอนน้อยมีผลเสียต่อสุขภาพอย่างมาก คนที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวันจะมีอายุสั้นกว่าวัยอันควร เนื่องจากร่างกายของเรามีกลไกทุกอย่างคล้ายนาฬิกา แต่ถ้าเมื่อไรที่เรานอนผิดเวลาจะทำให้ระบบนาฬิกาตรงนี้เสียส่งผลให้ระบบของร่างกายแปรปรวน เพราะนอกจากร่างกายจะอ่อนล้าแล้ว ยังส่งผลดังนี้
 
รับประทานอาหารอ่อนๆ ที่ย่อยง่าย
 
       ระบบแรกเลยที่จะต้องกระทบก็คือระบบการย่อยอาหารจะสูญเสียไป ดังนั้น ถ้าวันไหนต้องนอนน้อยให้หลีกเลี่ยงอาหารประเภทที่ย่อยยาก เช่นเนื้อสัตว์ แล้วหันมารับประทานอาหารย่อยง่าย จำพวก ธัญพืช  ข้าว  ข้าวต้ม ไข่ นม ผลไม้ เพื่อช่วยระบบย่อย
 
ดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยสร้างพลังงานและระบายความร้อนภายในร่างกาย
 
      นอกจากนี้การนอนดึกทำให้ร่างกายเสียน้ำมาก เนื่องจากร่างกายต้องใช้ “น้ำ” ในการสร้างพลังงาน,ระบายความร้อนและของเสียออกจากร่างกายทางปัสสาวะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ เป็นเช่นนี้มากเข้าทำให้ร่างกายขาดน้ำ ดูดซึมน้ำในทางเดินอาหารซึ่งส่งผลให้ระบบขับถ่ายแปรปรวนอีก เพราะฉะนั้นหากต้องนอนดึกเราต้องดื่มน้ำมากๆ โดยเฉพาะน้ำแร่ แต่ไม่ควรดื่มน้ำเกลือแร่ประเภทเครื่องดื่มชูกำลัง เพราะมีคาเฟอีนซึ่งเป็นตัวขับน้ำออกมาเกิดภาวะขาดน้ำมากขึ้น
หน้าตาหมองคล้ำที่เกิดจากการนอนน้อย
       นอกจากผลกระทบทางด้านร่างกายแล้วยังส่งผลถึงผิวพรรณให้ดูไม่สดใส ขอบตาดำ มีสิวฝ้าขึ้น ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากเมื่อน้ำในร่างกายไม่พอก็ต้องดูดน้ำจากทางเดินอาหารซึ่งโดยปกติแล้วทางเดินอาหารส่วนปลายเป็นช่วงที่จะไม่มีการดูดซึมแล้ว แต่เมื่อไม่พอใช้ก็จะถูกดูดซึมกลับเข้ามาอีกและในบริเวณนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นของเสียจึงเป็นการดูดของเสียเข้าสู่ระบบน้ำเหลืองเมื่อน้ำเหลืองคั่งเสียทำให้เกิดภาวะสิวฝ้าขึ้นนั่นเอง
การนอนที่มีผลต่อสุขภาพคือการนอนระดับใด?
 
การนั่งสมาธิ(Meditation)ช่วยให้นอนหลับสบาย
 
     โดยปกติแล้วเวลาที่คนเรานอนหลับช่วงแรกที่นอนนั้น คลื่นสมองจะอยู่ในระดับตื้น แล้วลงไปเป็นลึก สลับกันอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นช่วงเวลาที่เราหลับลึกจริงๆนั้น อยู่ที่ประมาณ 3-4 ชั่วโมง/วัน ดังที่เราเคยได้ยินว่า พระธุดงค์ โยคี ที่ฝึกมาดี ท่านจะใช้เวลานอนน้อยมาก หรือไม่นอนเลยก็มี เพราะจริงๆ แล้ว เวลาที่สมาธิลงไปถึงคลื่นลึกนั้นคือการนอนนั่นเอง ซึ่งร่างกายคนเราก็ต้องการอย่างนั้นวันละ 3-4 ชั่วโมงเอง แล้วเวลาท่านนั่งสมาธิลงไปลึกขนาดนั้นร่างกายซ่อมเลยกระบวนการของร่างกายดีขึ้นมาหมด สำหรับคนทั่วไปที่ทำสมาธิจิตไม่ได้ถึงระดับนั้นการนั่งสมาธิก่อนนอนก็ช่วยนำจิตให้ดิ่งไปสู่คลื่นที่ลึกลงไปทำให้ได้การนอนที่มีคุณภาพ “หลับก็ในอู่ทะเลบุญ” ตื่นมาก็สดชื่น
...”ความจริงแล้วถ้าเรานอนให้พอ แล้วพอถึงคราวทำงานสามารถทำงานได้อย่างตั้งใจและมีประสิทธิภาพที่ดีจะเป็นประโยชน์มากกว่า สังเกตชาวเยอรมันจะเป็นคนที่มีวินัยดีมาก ถึงคราวทำงานทำจริงจัง ทำเต็มที่แต่เมื่อถึงเวลาพัก กล้าพักเลย ประเทศอื่นเวลาทำงานจะทำจันทร์-ศุกร์ แล้วพักเสาร์-อาทิตย์ แต่ของชาวเยอรมันถึงช่วงบ่ายของวันศุกร์พักแล้ว เย็นวันอาทิตย์ก็กลับมา พอถึงเวลาทำงานก็ทำอย่างจริงจัง รวมเวลาทำงานแล้ว 4 วันครึ่ง แต่ได้ผลงานมากกว่าคนที่ทำงาน 5-6 วันเสียอีก เพราะเวลาทำงานไม่มีอู้เลยทุ่มเต็มที่ แต่พอถึงเวลาพัก กล้าพัก อย่างนี้กลับมีประสิทธิภาพและคุณภาพในการดำเนินชีวิตดีกว่า”...
 
รับชมวิดีโอ

ข้อคลายสงสัย เกี่ยวกับการดื่มน้ำ



ดื่มน้ำดี มากๆดีจริงหรอ
 

 
พื่อนๆคิดว่าสุดยอดของการเป็นหมออยู่ที่ไหนครับในพฤติกรรมที่ผมว่าคนไทยส่วนใหญ่ทำผิดมากที่สุดคือ เรื่องของการดื่มน้ำนี่แหละครับ ลองทำแบบทดสอบกันสักนิดก่อนอ่านต่อดีไหมครับ
1. คุณมีความเชื่อที่ว่าน้ำยิ่งดื่มเยอะยิ่งดีหรือไม่
2. คุณดื่มน้ำวันละกี่แก้ว
3. น้ำที่ดื่มเป็นน้ำเย็น, น้ำธรรมดา
 หรือว่าน้ำอุ่น
4. ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนเป็นพิเศษไหม
 เช่น ดื่มตอนเช้า ดื่มระหว่างทานข้าว ดื่มก่อนนอน เป็นต้น
5. ปกติดื่มอะไร
 เช่น น้ำเปล่า น้ำอัดลม ชา กาแฟ เป็นต้น

เราเฉลยกันไปทีละข้อๆพร้อมอธิบายละกันครับ พร้อมที่จะรู้ความผิดของตัวเองหรือยังครับ

ข้อหนึ่ง
นั้น เป็นความเชื่อที่ผิดครับ ทุกอย่างต่างมีทั้งคุณและโทษ ต้องหาจุดสมดุลของมันครับ น้ำดื่มมากเกินไปกลับไม่ดีเสียอีกครับ เดี๋ยวผมจะมีสูตรให้คำนวณว่าวันหนึ่งเพื่อนๆควรดื่มน้ำแค่ไหน

ข้อสอง
 คิดว่าทุกคนคงเคยเรียนกันมาอยู่แล้วว่าคนเราวันหนึ่งควรทานน้ำวันละ 8-10 แก้ว ว่าแต่ทำได้อย่างที่เรียนมาหรือเปล่าครับผมจะอธิบายให้ฟังว่า น้ำในร่างกายของเรามีที่มาที่ไปอย่างไรก่อน
น้ำที่เข้าสู่ร่างกายเรามาจากน้ำและอาหารที่ทานเข้าไปเป็นหลักส่วนน้ำจะออกจากร่างกายทางปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ และทางลมหายใจ
แต่ปัสสาวะเป็นเส้นทางหลักครับ คนเราจำเป็นต้องปัสสาวะออกจากร่างกายอย่างน้อย 500 มิลลิลิตรต่อวัน
ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้หมด
นอกจากนี้อีกสามทางที่เหลือโดยเฉลี่ยก็จำเป็นต้องใช้น้ำอีกราว 1000 มิลลิลิตร หรือ 1 ลิตร ต่อวัน
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว คนเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชยส่วนที่ออกจากร่างกายทุกวันราว 1500 มลหรือ 7-8 แก้ว
(แก้วละ 200 มล.) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขนี้ก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนครับ
ผมเลยมีสูตรมาให้คิดกันคร่าวๆว่าวันหนึ่งเราต้องทานน้ำปริมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
สูตรคือ
(น้ำหนักตัว(กก.) x 2.2 x 30) / 2 หน่วยที่ได้ออกมาเป็นมิลลิลิตรครับ เช่น หนัก 60 กก. เอาเข้าแทนค่าก็จะได้
ควรดื่มน้ำ (60 x 2.2 x 30) / 2 = 1980 มล. หรือประมาณ 10 แก้วต่อวันครับ

ถ้าเราดื่มน้ำน้อยกว่านี้ เลือดซึ่ง 90% ทำมาจากน้ำก็จะไหลเวียนไม่สะดวก ร่างกายก็จะขับของเสียได้ยาก ขณะเดียวกัน
สารอาหารในเลือดก็ส่งไปถึงร่างกายช้า
 ทางแพทย์จีนถ้าเกิดเลือดลมเดินไม่สะดวกนี่เป็นบ่อเกิดสารพัดโรคเลย
บางคนบอกว่าประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มา
 มาเป็นลิ่มเลือด สีเข้ม หนืด ปวดประจำเดือนก็แหงละครับ
น้ำไม่กินจะเอาที่ไหนไปสร้างเลือดละครับ
แต่ถ้าทานน้ำมากกว่านี้ก็เป็นผลเสียต่อร่างกายอีกเหมือนกัน
 ทำอะไรก็ต้องพอดีๆครับ

ข้อสาม
 อย่างที่เคยบอกไปตั้งแต่อาการขี้หนาวนะครับว่าน้ำเย็นเป็นของต้องห้ามสำหรับร่างกาย
กระเพาะเมื่อเจอของเย็นเข้าไปการทำงานจะด้อยลงทันที
 เกิดเป็นอาหารไม่ย่อย อาหารบูดเน่า หมักหมมอยู่ในกระเพาะ
และลำไส้ลำไส้ก็ดูดซึมของเสียจากกากอาหารพวกนี้กลับเข้าสู่เส้นเลือดต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะถ่ายอุจจาระออกจากร่างกายของเรา
เพราะฉะนั้นเราไม่ควรจะทานของเย็นๆครับ
 ทานน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นก็ได้
แต่ก่อนผมไม่รู้จุดนี้ก็ทานกันไป
 โดยเฉพาะไทยเป็นเมืองร้อน ทุกที่ต้องเสริฟน้ำเย็น เสริฟน้ำแข็งกันเป็นกระติกๆ กินกัน
จนเป็นเรื่องธรรมชาติ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ก็เฉยๆ
 แต่พอตอนนี้ เห็นแล้วกลัวไปเลยครับ บ้านผมตอนนี้ไม่ทานน้ำแข็งกันแล้ว

ข้อสี่ 
ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนกัน ที่บอกให้ดื่มวันละ 8-10 แก้วเนี่ยจะแบ่งกินช่วงไหนระหว่างวันบ้างละ ใครที่ชอบทานข้าวไป
จิบน้ำไปประมาณว่ากินข้าวเสร็จหมดน้ำไปสองแก้ว
 ข้อนี้ผมจัดเป็นหายนะอย่างใหญ่หลวงที่สุดเลยครับ เป็นการกินน้ำที่ผิดที่สุดครับ
คนเรามักทำอะไรเพลินเสียจนลืมทานน้ำ
 พอถึงเวลาว่างซึ่งมักจะเป็นเวลาทานข้าวเขาบอกว่าให้ทานน้ำเยอะก็ทานรวดเดียวไปเลยผิด ผิด ผิด
ผิดแบบไม่น่าให้อภัยเลยครับ
 เพราะช่วงเวลาที่ทานข้าวนั้น ร่างกายจำเป็นต้องอาศัยน้ำย่อยในการย่อยอาหาร
เมื่อคุณกินน้ำเข้าไปเยอะๆแล้ว
 น้ำย่อยก็จะเจือจาง ก็เข้าสู่ระบบเดียวกับการกินของเย็นคืออาหารไม่ย่อย หมักหมม พิษถูกดูด
เข้าเส้นเลือด

เพราะฉะนั้นที่คุณควรทำคือ 
ตอนเช้าตื่นมาดื่มน้ำก่อนเลยครับ 2-5 แก้ว เพื่อขับพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระ ปัสสาวะ ที่ให้ดื่มทันทีเพื่อให้มีระยะเวลาห่างจากอาหารเช้าพอสมควร
ก่อนอาหาร 15 นาที
 ระหว่างทานอาหาร และหลังอาหาร 40 นาที ทานน้ำได้ไม่เกินครึ่งแก้วครับ
ในที่นี้หมายรวมถึงซุป
 น้ำแกง และของเหลวทุกประเภทนะครับ
และอย่าดื่มน้ำครั้งละมากๆ ให้จิบครั้งละ 2-3 อึก แต่จิบถี่ๆ หาขวดน้ำแก้วน้ำมาวางไว้ข้างตัว จิบไปทั้งวันครับถ้ากินน้ำครั้งละมากๆผลก็คือ ร่างกายยังไม่ทันได้ดูดซึมก็ไหลรวดเดียวปัสสาวะออกไปหมดแล้วอย่างนี้ดื่มน้ำมากแค่ไหนก็ยังหิวน้ำครับ เหมือนน้ำป่ามาครั้งเดียว ทะลักล้นเขื่อนออกไปหมด แล้วจะเอาอะไรกักเก็บไว้ในเขื่อนละครับ เหมือนทำยาก แต่จริงๆแล้วพอเริ่มทำมันก็ไม่ยากอะไรครับผมแต่ก่อนทานน้ำ 2-3 แก้วพร้อมทานข้าว ด้วยเหตุผลสารพัดที่เข้าใจผิด เช่น ควรกินข้าวพออิ่มและทานน้ำเพื่อให้อิ่มจริง หรือกินล้างปากสักหน่อย หรือต้องสั่งชอคโกแลตปั่นใส่วิปครีมมากิน กินแล้วหวานมันเย็นอร่อยแต่ส่งผลเสียต่อกระเพาะโดยไม่รู้ตัวเบียร์ก็อีกตัวครับ สังสรรค์กันทีกินเข้าไปสิกี่ขวดว่ากันไป
ได้ข้อดีอีกอย่างคือไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมันควรกินแกล้มอาหาร เลยได้เลิกเหล้าเลิกเบียร์กันไป
แต่ก่อนหลังทานข้าวเสร็จผมจะเรอตลอด
 ท้องอืดมาก ก็งง หรือว่าเรากินเยอะไป แต่บางทีกินไม่เยอะก็เรอตลอดเสียบุคลิกมาก พอมารู้ตรงนี้ถึงได้ถึงบางอ้อ กินน้ำเยอะอย่างนี้แล้วอาหารจะย่อยยังไงมันก็เลยเกิดลมเกิดแก๊สซิพอเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำใหม่ อาการเหล่านี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆครับ

นอกจากนี้หลังอาหารยังไม่ควรทานผลไม้ล้างปากทันทีอีกด้วยครับ
 โดยเฉพาะผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นทั้งหลาย เช่นส้ม แก้วมังกร สาลี่แตงโม เป็นต้น
มีสองเหตุผลครับ
หนึ่ง
 เพราะว่าผลไม้จะย่อยเร็วกว่าอาหาร อาหารยังย่อยไม่เสร็จ ผลไม้ก็ค้างเติ่งอยู่ในกระเพาะ ร่างกายก็ดูดซึมสารอาหารจากผลไม้เหล่านี้ไม่ได้ พอไปถึงลำไส้ถึงคิวที่มันจะได้ดูดซึมมันก็เน่าเสียไปหมดแล้วครับ
เพราะฉะนั้นถ้าจะทานผลไม้ควรทานก่อนหรือหลังอาหารสัก 1-2 ชมขณะท้องว่างเพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมวิตามินสารอาหารและไม่รบกวนระบบการย่อยาหารด้วย

เหตุผลที่สอง
 คือ น้ำย่อยในกระเพาะถือว่าเป็นธาตุไฟครับ ถ้าทานผลไม้ฤทธิ์เย็นเข้าไปก็จะส่งผลให้อาหารย่อยไม่ดีเกิดวงจรอุบาทว์ดังเช่นข้างบนอีกเหมือนกัน

มาถึงข้อสุดท้ายแล้ว
 เป็นไงบ้างครับ คอตกรับผิดกันเป็นแถวเชียว ยังครับมารับรู้ความผิดของตัวเองกันในข้อนี้ต่อ
ทานน้ำอะไรกันครับ
 บางคนชอบทานน้ำอัดลมมาก ดื่มทุกวัน ไตก็ต้องทำงานกรองน้ำให้สะอาดหนักกว่าเดิม 
เครื่องกรองน้ำยี่ห้อแอมเวย์สามารถกรองโค้กให้กลายเป็นน้ำเปล่าได้อายุการใช้งานไม่ถึงปีก็ต้องเปลี่ยนหัวกรอง
ทว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนไตได้ครับ
 ถ้ายังอยากให้ไตอยู่คู่กับเรานานๆแล้ว คุณคงรู้ว่าต้องทำอย่างไร
อีกอย่างน้ำอัดลมเป็นน้ำที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมี
 ใส่น้ำตาลจำนวนมาก กินเข้าไปมีแต่ผลเสียครับ
ยิ่งอัดแก๊สอีก
 กินเข้าไปท้องก็อืด การย่อยอาหารก็ไม่ดี เสียเงินไปทำร้ายร่างกายตัวเองเปล่าๆ
พวกชาพร้อมดื่มบรรจุขวดก็เหมือนกันไม่มีอะไรนอกจากน้ำตาลและคาเฟอีนปริมาณมากผสมน้ำนำมาขาย
แต่ถ้าเป็นชาจีนร้อนๆชงจากกาก็ควรจะเว้นระยะหลังอาหารสักครึ่ง
 ชม.ครับ เพราะชามีฤทธิ์เย็น ทำให้อาหารไม่ย่อย 
รวมทั้งยังส่งผลต่อร่างกายในการดูดซึมธาตุเหล็กและโปรตีนอีกด้วย
กาแฟก็ไม่ควรทานอย่างที่เคยพูดไว้
 บางคนเถียงข้างๆคูๆ "กาแฟหอมนะหมอ"หอมครับผมไม่เถียง แต่มันไม่ดีครับ 
เดี๋ยวไอเดียบรรเจิดไม่เป็นหมอแล้ว
 ผลิตยาดมรสกาแฟดีกว่า ท่าจะรุ่ง

อีกอย่างขอแถมนิดนึง คนไทยชอบกินก๋วยเตี๋ยวเติมเครื่องเยอะๆ
 อร่อยลิ้นแต่ไตทำงานหนักนะครับ

9 วิธี แก้โรคคนนอนไม่หลับ

          อ่อนเพลียเนื่องจากนอนไม่หลับในตอนกลางคืน และตื่นขึ้นด้วยอาการอิดโรยในตอนเช้า ต่อไปนี้คือวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยกำจัดความทุกข์ตอนนอนให้หายไป แล้วคืนนี้จะได้นอนหลับสบาย
          1. งดเครื่องดื่มกาแฟ เป็นที่ทราบกันว่าคาเฟอีนมีสารกระตุ้นที่ทำให้นอนไม่หลับ แต่รู้ไหมว่าสารดังกล่าวยังตกค้างอยู่ในร่างกายอีกด้วย?  ดังนั้นทางที่ดี คือ กำจัดมันออกไปจากอาหารที่คุณกินหรืองดดื่มคาเฟอีนตั้งแต่มื้อเที่ยงเป็นต้นไป อย่าลืมคาเฟอีนที่ซ่อนอยู่ในน้ำอัดลม และของว่างต่าง ๆ เช่น โค้ก ช็อกโกแลต เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้นอนไม่หลับ อ่านฉลากข้างกระป๋อง และข้างถุงผลิตภัณฑ์ให้ละเอียด ดื่มชาสมุนไพร เช่น ชาคาโมมาย์ล หรือชาดอกมะนาว ที่ช่วยให้จิตใจผ่อนคลายแทนชาหรือกาแฟ เนื่องจากในชาทั้งสองชนิดนี้มีสารที่ช่วยให้จิตใจสงบเยือกเย็น และปลอดคาเฟอีน

          
2. อาบน้ำก่อนนอน การแช่ตัวในน้ำอุ่นก่อนนอน จะช่วยให้จิตใจผ่อนคลายจากความเครียดทั้งปวง แต่อย่าแช่น้ำนานเกินไป เพราะแทนที่จะหายเครียดกลับเครียดหนักขึ้น เนื่องจากการแช่ตัวในน้ำร้อนนานเกิน จะทำให้ผิวสูบเสียความชุ่มชื่น ดูไม่มีชีวิตชีวา เพื่อช่วยให้หลับสบาย อย่าลืมหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์2-3 หยด ลงในน้ำที่อาบ หรือจะใช้น้ำนมอาบน้ำ

          3. จัดห้องให้น่านอน แปลงโฉมห้องนอนให้เป็นที่ที่คุณอยากใช้เวลาอยู่นานๆ จัดข้าวของที่ระเกะระกะให้เข้าที่ ทำห้องให้มีกลิ่นหอมด้วยการวางถุงกลิ่นลาเวนเดอร์ และแจกันดอกไม้สด จัดห้องนอนให้มีแสงสลัว ๆ โปร่ง และอากาศถ่ายเทได้ดี หาอะไรปิดส่วนที่เรืองแสงของนาฬิกาปลุก ซึ่งนอกจากจะให้แสงสว่างเป็นพิเศษแล้ว ยังทำให้เราหันความสนใจไปที่นาฬิกาตลอดทั้งคืน ตั้งเครื่องปรับอากาศที่อุณหภูมิพอเหมาะ ประมาณ 25 องศาเซลเซียส ซึ่งทำให้ห้องเย็นสบายกำลังดี

          4. สมุนไพรพึ่งได้  มีสมุนไพรหลายตัว โดยเฉพาะสมุนไพรจีนช่วยคลายเครียด ทำให้นอนหลับได้ดี เช่น ถั่งเฉ้า มีลักษณะเป็นแท่งยาว ๆ มีสีเหลืองเป็นมันเงา ประกอบด้วยวิตามินบี 12 โปรตีน กรดไขมัน ทั้งอิ่มตัว และไม่อิ่มตัว มีสรรพคุณช่วยระงับประสาท ทำให้นอนหลับสนิท พุทราจีน เป็นผลไม้บำรุงสุขภาพที่ดีของคนจีน สามารถกินได้ทั้งสดและแห้ง แก้อาการนอนไม่หลับ เนื้อในเมล็ดช่วยผ่อนคลายประสาท ทำให้นอนหลับสบาย โสม จัดเป็นสมุนไพรจีนที่ใช้รักษาโรคมากกว่า 2,000 ปี สารไบโอแอคทีฟ (bioactive) ในโสมช่วยแก้โรคนอนไม่หลับ และรักษาโรคความจำเสื่อม ลดความเครียด ดอกไม้จีนหรือจำฉ่ายเป็นพืชล้มลุกตระกูลเดียวกับลิลลี่ เกสรดอกไม้จีนมีสรรพคุณช่วยบำรุงประสาท ช่วยให้ผ่อนคลาย ทำให้สดชื่น และมีฤทธิ์เป็นยานอนหลับอ่อน ๆ จึงช่วยให้หลับสบาย   
          5. ยืดเส้นยืดสาย คนที่เคลื่อนไหวร่างกายขณะทำงานในระหว่างวัน จะมีปัญหาในการนอนน้อยกว่าคนที่นั่งปักหลักอยู่กับโต๊ะทำงาน การออกกำลังกายแค่วันละ 15 นาที จะช่วยให้ร่างกายได้รับออกซิเจน ทำให้ผ่อนคลาย และนอนหลับง่ายขึ้น ระหว่างวันควรออกไปเดินเล่นในสวน หรือเดินยืดเส้นยืดสายหลังอาหารเย็น หลังเดินออกกำลังแล้ว ให้พักประมาณครึ่งชั่วโมง จึงค่อยเข้านอน ทั้งนี้เพื่อให้อัตราการเต้นหัวใจและร่างกายทำงานช้าลงก่อนถึงจะสามารถเข้านอนได้

          6. กินอย่างถูกต้อง การเข้านอนขณะท้องหิว หรืออิ่มแปล้จะไปรบกวนการนอน ซึ่งรวมถึงการกินอาหารก่อนนอนด้วย ไม่ควรกินอาหารเย็นหลัง ทุ่ม และถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเหลี่ยงโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เพราะจะเป็นเหมือนยาชูกำลังที่ไปกระตุ้นการทำงานของฮอร์โมน ที่ทำให้ร่างกายเกิดความคึกคัก กินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตจำพวกแป้ง อาหารเย็นควรเป็นข้าว มันฝรั่ง พาสต้า ผัก ที่มีรากเป็นลำต้นใต้ดิน ถั่วต่าง ๆ อาหารเหล่านี้ทำให้ร่างกายผลิตเซโรโตนิน ที่ช่วยในการนอนหลับ

          7. เอนตัวลง และทำจิตใจให้ผ่อนคลาย เปิดเพลงทำนองเบาๆ ฟังสบายๆ ขณะนอน หรือจะเปิดเทปบันทึกเสียงธรรมชาติที่ให้ความรู้สึกสงบ เยือกเย็น เช่น เสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง ปิดไฟในห้องนอน นอนซุกตัวใต้ผ้าห่ม ปล่อยให้เสียงนั้นขับกล่อมคุณ จากนั้นหายใจลึกๆ ช้าๆ เพ่งสมาธิไปที่แขนขาแต่ละข้าง โดยเริ่มจากที่เท้า จินตนาการว่าแขนขานั้นจมหายลงไปในเตียง ควรใช้เครื่องเล่นเทป หรือซีดีที่ปิดเองอัตโนมัติ เพราะจะได้ไม่ต้องลุกขึ้นมาปิดเวลาเคลิ้มๆ ใกล้จะหลับ  
          8. ลุกขึ้นเดิน หากตื่นขึ้นกลางดึก และไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ภายใน 30 นาที จงลุกขึ้น อย่านอนกระสับกระส่ายพลิกตัวไปมา รอเวลาจนเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น เพราะนั่นจะทำให้รู้สึกหงุดหงิด อย่าเปิดทีวี อ่านหนังสือ หรือนั่งบนเตียงคิดเรื่องที่ยังติดค้างอยู่ในสมอง แม้นั่นจะเป็นวิธีฆ่าเวลายามนอนไม่หลับ แต่ไม่ควรทำ คุณจำเป็นต้องฝึกให้ร่างกายรับรู้ว่าเตียงนอนใช้เป็นที่สำหรับนอน แม้ว่าสิ่งที่คุณทำบนเตียงจะเป็นกิจกรรมสบายๆ ประเภทดูหรือฟังก็ตาม เพราะนั่นสามารถเข้าไปกระตุ้น หรือรบกวนจิตใจได้ หากตื่นขึ้นกลางดึก ให้ลุกจากเตียงไปเอนหลังบนโซฟา หรือเก้าอี้ตัวโปรดที่นั่งสบายๆ หลับตาลง ทำจิตใจให้สบายจนรู้สึกง่วงแล้วจึงค่อยลับไปนอนที่เตียง

          9. มหัศจรรย์แห่งนม ตอนเด็กๆ แม่จะให้เราดื่มนมอุ่นๆ ก่อนนอน เพราะในนมมีกรดอะมิโนที่เรียกว่า ทรัยป์โตฟาน ช่วยให้นอนหลับสบาย และยังมีแคลเซียมสูง ช่วยผ่อนคลายประสาท ทำให้จิตใจสบาย บางคนบอกว่าการดื่มนมอุ่นๆ ช่วยคลายเครียด และหายอ่อนเพลีย จากการศึกษาวิจัยพบว่า เมลาโทนิน (melatonin)ช่วยให้นอนหลับ โดยเฉพาะนมที่รีดจากแม่วัวตอนเช้ามืด เพราะเป็นช่วงเวลาที่นมวัวมีเมลาโทนินสูงสุด

ข้อมูลจาก : HealthPlus
ที่มา board.palungjit.com/showthread.php?t=142311